ยินดีต้อนรับสู่เว็บบล็อก
สวัสดีค่ะผู้เยี่มชมทุกท่าน บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียนการสอนในรายวิชา นวัตกรรม เทคโนโลยีและสารสนเทศทางการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 /2556 สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 3

หน่วยที่ 4

จิตวิทยาการเรียนรู้
ความหมายจิตวิทยาการเรียนรู้
 จิตวิทยาตรงกับภาษาอังกฤษว่า Psychology มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำคือPhycheแปลว่าวิญญาณกับ Logos แปลว่าการศึกษาตามรูปศัพท์จิตวิทยาจึงแปลว่าวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณแต่ในปัจจุบันนี้จิตวิทยาได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปความหมายของจิตวิทยาได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยนั่นคือจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์
           การเรียนรู้  (Learning) ตามความหมายทางจิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์  พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงที่ไม่จัดว่าเกิดจากการเรียนรู้  ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เนื่องมาจากวุฒิภาวะ
จิตวิทยาการเรียนรู้
นักจิตวิทยาหลายท่านให้ความหมายของการเรียนรู้ไว้ เช่น
คิมเบิล ( Kimble , 1964 ) "การเรียนรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวรในพฤติกรรม อันเป็นผลมาจากการฝึกที่ได้รับการเสริมแรง"
-ฮิลการ์ด และ เบาเวอร์ (Hilgard& Bower, 1981) "การเรียนรู้ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อันเป็นผลมาจากประสบการณ์และการฝึก ทั้งนี้ไม่รวมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดจากการตอบสนองตามสัญชาตญาณ ฤทธิ์ของยา หรือสารเคมี หรือปฏิกิริยาสะท้อนตามธรรมชาติของมนุษย์ "
-คอนบาค ( Cronbach ) "การเรียนรู้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลประสบมา “
-พจนานุกรมของเวบสเตอร์ (Webster 's Third New International Dictionary) "การเรียนรู้ คือ กระบวนการเพิ่มพูนและปรุงแต่งระบบความรู้ ทักษะ นิสัย หรือการแสดงออกต่างๆ อันมีผลมาจากสิ่งกระตุ้นอินทรีย์โดยผ่านประสบการณ์ การปฏิบัติ หรือการฝึกฝน"
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
พฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของนักการศึกษาซึ่งกำหนดโดย บลูม และคณะ (Bloom and Others ) มุ่งพัฒนาผู้เรียนใน ๓ ด้าน ดังนี้
๑.  ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain
๒.  ด้านเจตพิสัย (Affective Domain
๓.  ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain
องค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้
ดอลลาร์ด และมิลเลอร์  (Dallard and Miller) เสนอว่าการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำคัญ ๔  ประการ คือ
๑.  แรงขับ (Drive)
๒.  สิ่งเร้า (Stimulus)
๓.  การตอบสนอง (Response)
๔.  การเสริมแรง (Reinforcement)
ธรรมชาติของการเรียนรู้
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Bloom ( Bloom's Taxonomy)Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ
1. ความรู้ที่เกิดจากความจำ (knowledge)
2. ความเข้าใจ (Comprehend)
3. การประยุกต์ (Application)
4. การวิเคราะห์ ( Analysis) 
5. การสังเคราะห์ ( Synthesis) 
6. การประเมินค่า ( Evaluation) 
การถ่ายโยงการเรียนรู้
การถ่ายโยงการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ ๒ ลักษณะ คือ การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก (Positive Transfer) และการถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ (Negative Transfer
การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก (Positive Transfer) คือ การถ่ายโยงการเรียนรู้ชนิดที่ผลของการเรียนรู้งานหนึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อีกงานหนึ่งได้เร็วขึ้นง่ายขึ้น หรือดีขึ้น  
การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ (Negative Transfer)  คือการถ่ายโยงการเรียนรู้ชนิดที่ผลการเรียนรู้งานหนึ่งไปขัดขวางทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อีกงานหนึ่งได้ช้าลง  หรือยากขึ้นและไม่ได้ดีเท่าที่ควร  การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ อาจเกิดขึ้นได้ ๒ แบบ คือ
๑.  แบบตามรบกวน (Proactive Inhibition
๒.  แบบย้อนรบกวน (Retroactive Inhibition
ลักษณะสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ามีการเรียนรู้เกิดขึ้น จะต้องประกอบด้วยปัจจัย  ๓  ประการ  คือ
.   มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างคงทนถาวร
๒.  การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นจะต้องเป็นผลมาจากประสบการณ์ หรือการฝึก การปฏิบัติซ้ำๆ  เท่านั้น
๓.  การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังกล่าวจะมีการเพิ่มพูนในด้านความรู้  ความเข้าใจ  ความรู้สึกและความสามารถทางทักษะทั้งปริมาณและคุณภาพ
ทฤษฎีการเรียนรู้   (Theory of Learning)
ทฤษฎีการเรียนรู้มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียนการสอนมาก  เพราะจะเป็นแนวทางในการกำหนดปรัชญาการศึกษาและการจัดประสบการณ์  เนื่องจากทฤษฎีการเรียนรู้เป็นสิ่งที่อธิบายถึงกระบวนการ     วิธีการและเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้และตรวจสอบว่าพฤติกรรมของมนุษย์  มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญ  แบ่งออกได้  ๒  กลุ่มใหญ่ๆ     คือ
๑.      ทฤษฎีกลุ่มสัมพันธ์ต่อเนื่อง ๒.  ทฤษฎีกลุ่มความรู้ความเข้าใจ
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มสัมพันธ์ต่อเนื่อง
การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง ปัจจุบันเรียกนักทฤษฎีกลุ่มนี้ว่า "พฤติกรรมนิยม" ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มนี้แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ ดังนี้
                ๑.   ทฤษฎีการวางเงื่อนไข   (Conditioning Theories)
                     ๑.๑   ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
                     ๑.๒   ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ
                ๒.   ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง  (Connectionism Theories)
                     ๒.๑   ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง   
                     ๒.๒   ทฤษฎีสัมพันธ์
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
            อธิบายถึงการเรียนรู้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขกับการตอบสนองพฤติกรรม
การนำหลักการมาประยุกต์ใช้ในการสอน
๑.   ครูสามารถนำหลักการเรียนรู้ของทฤษฎีนี้มาทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกถึงอารมณ์  ความรู้สึกทั้งด้านดีและไม่ดี รวมทั้งเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ 
๒.   ครูควรใช้หลักการเรียนรู้จากทฤษฎีปลูกฝังความรู้สึกและเจตคติที่ดีต่อเนื้อหาวิชา
๓.   ครูสามารถป้องกันความรู้สึกล้มเหลว  ผิดหวัง และวิตกกังวลของผู้เรียนได้โดยการส่งเสริมให้กำลังใจ
กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
๑.   กฎแห่งผล (Law of Effect) ๒.  กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness)
๓.  กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise)
การนำหลักการมาประยุกต์ใช้
๑.  การสอนในชั้นเรียนครูควรกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
๒.  ก่อนเริ่มสอนผู้เรียนควรมีความพร้อมที่จะเรียน  
๓.  ครูควรจัดให้ผู้เรียนมีโอกาสฝึกฝนและทบทวนสิ่งที่เรียนไปแล้ว
๔.  ครูควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสพึงพอใจและรู้สึกประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรม  
ทฤษฎีสัมพันธ์ต่อเนื่องของกัทรี  (Guthrie's Contiguity Theory)
เป็นผู้กล่าวย้ำถึงความสำคัญของความใกล้ชิดต่อเนื่องระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง  ถ้ามีการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดและแนบแน่นเพียงครั้งเดียวก็สามารถเกิดการเรียนรู้ได้ 
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้ความเข้าใจ 
ทฤษฎีการเรียนรู้แบ่งย่อยได้ดังนี้
๑.   ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์  (Gestalt's Theory)๒.   ทฤษฎีสนามของเลวิน ( Lewin's Field Theory)
ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์  (Gestalt's  Theory)
นักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) ชาวเยอรมัน ประกอบด้วย  Max   Wertheimer, Wolfgang  Kohlerและ Kurt  Koftkaซึ่งมีความสนใจเกี่ยวกับการรับรู้(Perception )การเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เก่าและใหม่  นำไปสู่กระบวนการคิดเพื่อการแก้ปัญหา(Insight)
องค์ประกอบของการเรียนรู้  มี   ๒  ส่วน   คือ
๑.   การรับรู้  (Perception)  ๒.   การหยั่งเห็น (Insight)
ทฤษฎีสนามของเลวิน  (Lewin's Field Theory)                                                                                      
 การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการจัดกระบวนการรับรู้และกระบวนการคิดเพื่อการแก้ไขปัญหาเขาได้นำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาร่วมอธิบายพฤติกรรมมนุษย์  เขาเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์แสดงออกมาอย่างมีพลังและทิศทาง  สิ่งที่อยู่ในความสนใจและต้องการจะมีพลังเป็นบวก  ซึ่งเขาเรียกว่า Life space   สิ่งใดที่อยู่นอกเหนือความสนใจจะมีพลังเป็นลบLewinกำหนดว่า  สิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์    จะมี  ๒  ชนิด  คือ
๑.    สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ  (Physical   environment)
๒.    สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา  (Psychological environment)
การนำหลักการทฤษฎีกลุ่มความรู้  ความเข้าใจ  ไปประยุกต์ใช้
๑.   ครูควรสร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง 
๒.   เปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในชั้นเรียน
๓.   การกำหนดบทเรียนควรมีโครงสร้างที่มีระบบเป็นขั้นตอน  
๔.   คำนึงถึงเจตคติและความรู้สึกของผู้เรียน 
๕.   บุคลิกภาพของครูและความสามารถในการถ่ายทอด 
ความสำคัญของจิตวิทยาการศึกษาต่ออาชีพครู
วิชาจิตวิทยาการศึกษาสามารถช่วยครูได้ในเรื่องต่อไปนี้
.  ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัย (Characteristics) ของนักเรียนที่ครูต้องสอน
.  ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียน
.  ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล
.  ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่วัย
.  ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่าง ๆ
 .  ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน
.  ช่วยครูให้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้
.  ช่วยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีกานที่มีประสิทธิภาพ
.  ช่วยครูให้ทราบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดี ไม่ได้เป็นเพราะระดับเชาวน์ปัญญาอย่างเดียว
๑๐.  ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น